กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปตลาด FTA ในรอบ 8 เดือน ยอดพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท มีสัดส่วนถึง 69% เป็นที่หนึ่งในอาเซียน และเป็นอันดับ 8 ของโลก ด้านตลาดอินเดีย จีน ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เติบโตดี ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว ยางพารา ไก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้รับความนิยม แนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้น อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ลดอุปสรรคและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ส่งออกของไทยทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ไทยมีโอกาสติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลก
ไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับที่ 1 ของอาเซียน มูลค่าการส่งออก 8 เดือน 4.3 แสนล้านบาท
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันที่มีความท้าทายสูงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนแต่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงมีแนวโน้มสดใสและขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค. 2567) ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก มูลค่า 19,826 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกไปกลุ่มประเทศคู่ค้าที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วยมูลค่า 13,774 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 69% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด ซึ่งไทยครองแชมป์เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 8 ของโลก
ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน สัดส่วนกว่า 31% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด อาเซียน สัดส่วน 15% ญี่ปุ่น สัดส่วน 11% และเกาหลีใต้ สัดส่วน 3% ตลาดที่เติบโตได้ดี ได้แก่ อาเซียน ขยายตัว 39% อินเดีย ขยายตัว 34% ออสเตรเลีย ขยายตัว 23% สิงคโปร์ ขยายตัว 10% เกาหลีใต้ ขยายตัว 9% และญี่ปุ่น ขยายตัว 7%
สถิติส่งออกสินค้าเกษตรเดือนสิงหาคม ขยายตัว 9% ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ยอดส่งออกสูงสุด
จากรายงานสถิติการส่งออกรายเดือน พบว่า ความต้องการสินค้าเกษตรไทยเพิ่มขึ้น โดยในเดือนสิงหาคม 2567 ประเทศไทยมียอดส่งออกสินค้าเกษตรไปประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 1,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 9% จากเดือนที่ผ่านมา ในภาพรวมตลาด FTA เติบโตเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ขยายตัว 11% อินเดีย ขยายตัว 24% นิวซีแลนด์ ขยายตัว 34% อาเซียน ขยายตัว 4% ฮ่องกง ขยายตัว 2% และชิลี ขยายตัว 42.8%
ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ 5 อันดับต้นของไทย ขยายตัวเป็นที่น่าพอใจทุกรายการ โดยสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออก
อันดับ 1 : ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่า 604 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21% จากเดือนก่อนหน้า
อันดับ 2 : ข้าว มูลค่า 562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 41%
อันดับ 3 : ยางพารา มูลค่า 497 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 9%
อันดับ 4 : ไก่ มูลค่า 392 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6%
อันดับ 5 : ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง มูลค่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2%
นายกฯ สั่งเร่งลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค สนับสนุนผู้ส่งออกไทย
(27 ตุลาคม 2567) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยในอนาคตมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งลดอุปสรรคและเงื่อนไขต่างๆในข้อติดขัดเพื่อสนับสนุนให้ผู้ส่งออกของไทย ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นซึ่งจะมีโอกาสส่งผลให้ไทยติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลกได้ในปีหน้า"
โดยใช้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐบาลที่เปิดโอกาสในการสร้างข้อตกลง FTA อย่างเต็มที่ ปัจจุบันไทยได้เจรจาจัดทำ FTA สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยทั้งสิ้น 14 ฉบับกับคู่ค้า กับคู่ค้า 18 ประเทศคู่ค้า ซึ่งปัจจุบัน 18 ประเทศคู่ FTA ของไทย ได้ลดและยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกส่วนใหญ่แล้ว อาทิ
- ยางพารา 16 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว ยกเว้นจีนและอินเดีย ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการ
- ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 15 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ
- ไก่แปรรูป 14 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าไก่แปรรูปจากไทยแล้ว ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ชิลี และเปรู ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ
- ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง 12 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าแล้ว ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว
ประโยชน์ของการทำความตกลงการค้าเสรี FTA
*FTA ย่อมาจาก Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรี เป็นการทำความตกลงทางการค้าของประเทศ อาจเป็น 2 ประเทศ (ทวิภาคี) หรือเป็นกลุ่มประเทศ (พหุภาคี) ที่จะร่วมมือขจัดอุปสรรคทางการค้าทั้งที่เป็นภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากร ซึ่งเขตการค้าเสรีที่สำคัญของไทยที่มีมูลค่าสูงทางการค้า ได้แก่ เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน ไทย - ญี่ปุ่น อาเซียน - เกาหลี เป็นต้น โดยประโยชน์ของการทำความตกลงการค้าเสรี FTA มีดังนี้
1. ลดอุปสรรคทางการค้าทั้งที่เป็นอุปสรรคทางภาษี และที่มิใช่ภาษี
2. เพิ่มมูลค่าในทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก
3. เพิ่มโอกาสการส่งออก ได้ตลาดใหม่ และขยายตลาดเดิม
4. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
5. สร้างอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ การเมือง
6. ให้ความร่วมมือทางด้านศุลกากร การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลการลักลอบ หลีกเลี่ยง และสินค้าอันตราย สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
7. พัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
8. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ และเทคโนโลยีการผลิต
9. สร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
*ที่มา : กรมศุลกากร
#สินค้าเกษตรไทยขึ้นแท่นที่1ในอาเซียนอันดับ8ของโลก #กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ #กระทรวงพาณิชย์ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง