ท่าเรือระดับโลก ประตูสำคัญดันการท่องเที่ยว และการส่งออก
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหนึ่งในรายได้สำคัญของประเทศไทยคือ การส่งออก และการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคภายในและส่งออก ปัจจุบันการส่งออกของไทยคิดเป็นร้อยละ 75 ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งของรายได้ประเทศ ซึ่งการขนส่งทางเรือนับว่าเป็นช่องทางการขนส่งสินค้าที่มีความสำคัญและได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำและส่งสินค้าได้ครั้งละมาก ๆ เหมาะกับสินค้าที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ อาทิ
 
“การขนส่งเบียร์ 1 กล่องน้ำหนัก 15 กก.ต่อกล่อง จากกรุงเทพฯ ไปส่งที่จังหวัดชลบุรี โดยทางรถบรรทุกค่าขนส่งราคากล่องละ 10.60 บาท ในขณะที่การขนส่งทางเรือ 1 ลำ บรรทุกเบียร์ได้ 100,000 กล่อง ค่าขนส่งกล่องละ 2.25บาท และไปจ้างรถกระจายต่ออีก 4.5 บาท ต่อกล่อง รวมเป็น 6.75 บาท ต่อกล่อง ต้นทุนการขนส่งลดลงถึง 36%” จากตัวอย่างที่ยกมานั้นเห็นได้ว่าต้นทุนค่าขนส่งนั้นลดลงกว่า 30% ทำให้ผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจในการขนส่งทางน้ำมากขึ้น
 
ท่าเรือที่สำคัญในประเทศไทยที่บริหารจัดการโดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีจำนวน 5 แห่ง
• ท่าเรือกรุงเทพ หรือ ท่าเรือคลองเตย เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าต่างๆ และเข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 10 ล้านคน พร้อมกับทั้งรองรับสินค้ามูลค่าสูงและผลิตภัณฑ์ เพื่อการบริโภค รองรับการเชื่อมต่อ การขนส่งสินค้า จากทางแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และปลายทางทั่วประเทศผ่านการขนส่งหลายรูปแบบทั้งทางถนน ทางรางรถไฟ และทางน้ำ ถูกเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์ไทยและการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยบริการขนส่งตรง (Direct Call) พร้อมบริการตู้สินค้าครบวงจร รองรับเรือสินค้า และ เรือขนส่งชายฝั่งด้วยมาตรฐานบริการระดับสากล
• ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นท่าเรือน้ำลึกหลักของประเทศไทย และ ท่าเรือประตูการค้าระดับโลก โดยท่าเรือแหลมฉบังนี้ เป็นท่าเรือประเภท Gateway Port อันดับที่ 3 ของโลก ยังไม่ได้นับรวมท่าเรือทั้งหมดในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้เป็นรองจากท่าเรือ Los Angeles และ ท่าเรือ Long Beach อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อซัพพลายเชน สินค้าไปยังโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในฝั่งทางภาคตะวันออกของประเทศไทย ท่าเรือแหลมฉบังนี้ ได้ถูกปฏิบัติการท่าเทียบเรือ โดยผู้ประกอบการท่าเทียบเรือระดับโลก (Global Terminal Operators : GTOs) สามารถที่จะรองรับเรือขนส่งสินค้าต่างๆได้หลากหลายประเภท ซึ่งรวมไปถึงเรือขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่พิเศษ (Super Post Panamax) พร้อมขีดความสามารถในการกระจายสินค้าเข้าสู่เมืองกรุงเทพมหานคร และปลายทางทั่วทั้งประเทศ และผ่านการขนส่งอีกหลายรูปแบบ เช่น ทางถนน ทางราง และ ทางน้ำ รวมทั้งให้บริการเช่าพื้นที่ประกอบกิจการ โลจิสติกส์และธุรกิจอื่นๆอีกด้วย
• ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน เป็นประตูการค้าระหว่างประเทศไทยกับทางประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ ประเทศจีนตอนใต้ สหภาพเมียนมาร์ และ สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนนี้มีความพร้อมในการสนับสนุนการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน และด้วยศักยภาพในการรองรับเรือสินค้าทั่วไป และ เรือน้ำมันเชื้อเพลง และยังมีความสะดวกในการส่งออกสินค้าประเภทรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยท่าเรือพาณิชย์นี้มีสินค้าส่งออกหลักเป็นเนื้อสัตว์แช่แข็ง ซึ่งมีประมาณสินค้าผ่านท่าเฉลี่ยว 40,000 – 50,000 ตันต่อปี พร้อมกับน้ำตาลทรายที่มีประมาณการส่งออก 30,000 – 40,000 ตันต่อปี
• ท่าเรือเชียงของ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตพื้นที่ของอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยท่าเทียบเรือขนาดกว้าง 24 เมตร ยาว 180 เมตร ด้านหน้าติดแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามคือเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ด้านหลังติดถนนซึ่งเชื่อมระหว่างอำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บริการที่ท่าเรือเชียงของในลักษณะให้บริการในพื้นที่เดียวกัน (One Stop Service) คือ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมขนส่งทางน้ำพาณิชยนาวี ด่านตรวจ คนเข้าเมือง ด่านสาธารณสุข ด่านกักสัตว์และพืช เป็นต้น เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีอุปกรณ์ทำความสว่างอย่างเพียงพอ และมีเจ้าหน้าที่ ให้บริการ 24 ชั่วโมง
• ท่าเรือระนอง เป็นประตูการค้าที่สามารถรองรับการขนส่งสินค้าฝั่งทะเลอันดามัน เชื่อมโยงกับเส้นทางการค้าในกลุ่มประเทศ BIMSTEC เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป และแอฟริกา โดยท่าเรือระนองมีระบบการให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากล รองรับการขนส่งสินค้าทุกประเภท ด้วยท่าเทียบเรือตู้สินค้าและท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ รวมทั้งเป็นฐานสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ในโครงการสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในบริเวณอ่าวเมาะตะมะ ท่าเรือระนองมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้า ด้วยบริการตู้สินค้าที่ครบวงจร ตั้งแต่โรงพักสินค้า บริการชำระพิธีการศุลกากร บริการตรวจคนเข้าเมือง ไปจนถึงบริการให้เช่าพื้นที่ประกอบการ
 
อย่างไรก็ตาม การท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม มุ่งมั่นที่จะเพิ่มพูนประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และพัฒนาศักยภาพขององค์กรสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำ ภายใต้มาตรฐานสากล พร้อมทั้งยกระดับอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าของประเทศไทยในตลาดโลก ผ่านโครงการพัฒนาท่าเรือที่สำคัญ อาทิ
• โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 : เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือ ในการรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสำหรับจอดเรือและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรภายในท่าเรือ ตลอดจนขยายโครงข่ายและระบบการขนส่งต่อเนื่อง ให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี
• โครงการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือทุ่นแรงและกระบวนการการทำงานภายในของท่าเรือกรุงเทพ เพื่อส่งเสริมระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) และพัฒนาระบบขนส่งและการขนถ่ายสินค้าให้มีโครงข่ายเชื่อมโยง (Logistics Chain) ภายในประเทศ
 
ท่าเรืออัจฉริยะ (ส่งเสริมการท่องเที่ยว)
นอกจากการยกระดับทางเรือในการขนส่งและส่งออกระหว่างประเทศแล้ว รัฐบาลได้มุ่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบก น้ำ ราง อากาศ ให้มีความเชื่อมโยง สะดวก ปลอดภัย สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยกรมเจ้าท่าได้กำหนดแผนพัฒนายกระรับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี 2562 - 2567 ที่จะพัฒนาท่าเรือ จำนวน 29 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามตามหลักอารยสถาปัตย์ มีระบบการให้บริการที่ทันสมัย ทั้งยังส่งเสริมให้มีเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน อีกทั้งมีส่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างรายได้ให้กับประเทศ
 
ระบบ Smart Pier เช่น ระบบบอกเวลาเรือเข้า-ออกท่าเรือแบบเรียลไทม์ของท่าเรือผ่านหน้าจอดิจิทัล เพื่อให้ผู้เดินทางรู้กำหนดเวลาแน่นอนที่เรือมาถึง โดยกรมเจ้าท่า ได้พัฒนาให้เป็นระบบ Smart Pier ที่มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ออกแบบอ้างอิงตามอัตลักษณ์สถาปัตยกรรมตามสมัย รองรับการใข้ชีวิตวิถีใหม่ กับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือ AI มาใช้ในการควบคุมและบริหารจัดการเรือ ทั้งระบบบการควบคุมการจราจรทางน้ำ ระบบการบริหารจัดการข้อมูล ระบบเชื่อมโยงโครงข่ายของอุปกรณ์ ระบบตั๋วและเครื่องตรวจสัมภาระ เครื่องวัดอุณหภูมิ บริการเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ และระบบวงจรปิด CCTV เป็นต้น
 
สำหรับแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสารดังกล่าว ดำเนินการระหว่างปี 2562 - 2567 เพื่อพัฒนายกระดับท่าเรือให้มีความสวยงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ ตลอดจนนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการควบคุมและบริหารจัดการบนท่าเรือ
 
ปัจจุบันเปิดใช้งานแล้ว 8 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร ท่าเรือพายัพ ท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ ส่วนปี 2566 นี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะเปิดให้บริการอีก 3 แห่งได้แก่ ท่าเรือพระราม 7 ท่าเรือท่าเตียน และท่าเรือเกียกกาย ที่เหลืออีก 18 แห่ง คาดว่าจะเปิดใช้ได้ในปี 2568 โดยก่อสร้างปรับปรุงท่าเรือแล้วเสร็จตามแผนทั้งหมดจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 53,000 คนต่อวัน ในปี 2570
 
The Blue Dolphin เรือเฟอร์รี่ ชลบุรี-สงขลา
โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเชื่อมโยงการเดินทางของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor, EEC) เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor, SEC) และเพิ่มศักยภาพของการขนส่งทางน้ำ ลดต้นทุนด้านการขนส่ง ลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 โดยมีเป้าหมายต้องการทำให้การเดินทางระหว่างภาคใต้กับภาคตะวันออกมีความสะดวก เรือออกจากภาคใต้ 14.00 น. ถึงสัตหีบ 10.00 น.ของอีกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าทางรถยนต์ที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 23-24 ชั่วโมง และสามารถพักผ่อนบนเรือที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน นอกจากประหยัดเวลาในการเดินทางแล้วยังประหยัดพลังงานได้อีกด้วย
 
เรือ Blue Dolphin เป็นเรือเฟอร์รีที่สามารถบรรทุกทั้งผู้โดยสารและรถยนต์ เป็นเรือขนาดใหญ่ 3 ชั้น สามารถบรรทุกรถสิบล้อได้ 60 คัน และรถเก๋งอีก 20 คัน ผู้โดยสาร 586 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้องพัก โซนอาหารและเครื่องดื่ม เหมือนเรือท่องเที่ยวกึ่งเรือสำราญ ซึ่งจะมาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจจังหวัดสงขลาและจังหวัดชลบุรีให้ดีขึ้นและช่วยในการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย

image รูปภาพ
image

Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar